ก่อนอื่นผมขอบอกเลยว่า ผมอายที่จะเล่าเรื่องนี้มาก เพราะว่าคนภายนอกมักมองนักฟุตบอล และผู้จัดการทีม เปรียบเสมือนพระเจ้า หรืออะไรประมาณนั้น แต่ในฐานะคนนับถือศาสนาคริสต์อย่างผม ผมนับถือพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และพวกคุณก็รู้ว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอล สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ พวกเราทุกคนต่างเคยล้มเหลวกันมาทั้งนั้น และตอนผมเริ่มเป็นผู้จัดการทีมใหม่ๆ ผมล้มเหลวมานับไม่ถ้วน

 

และเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ คือหนึ่งในเรื่องราวของความล้มเหลวเหล่านั้น …ของผม ชายที่ชื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์

 

 

ย้อนกลับไปในปี 2011 ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ของผมได้โคจรมาพบกับ บาเยิร์น มิวนิค มันเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่เกมหนึ่งของบุนเดสลีกา พวกเราไม่เคยชนะที่สนามของ บาเยิร์น มิวนิค มาร่วม 20 ปี ผมจึงไปหาแรงบันดาลใจจากในหนังหลายๆ เรื่อง แล้วผมก็พบกับ ร๊อคกี้ บัลโบ้ คนที่ผมมักจะนำมาสร้างแรงกระตุ้นให้กับเด็กๆ ในทีม ในความคิดของผม ทุกโรงเรียนในโลกนี้ควรเอาหนังเรื่อง ร๊อคกี้ 1-4 มาบรรจุในหลักสูตรเหมือนกับการอ่าน A-Z ไปเลย เพราะว่าถ้าคุณดูหนังภาคต่อเรื่องนี้แล้วไม่เกิดความทะเยอทะยาน คุณคงเสียสติไปแล้ว

คืนที่ผมจะพาลูกทีมไปเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ผมเรียกพวกเขามารวมตัวกันในห้องและให้นั่งลง จากนั้นก็ปิดไฟทุกดวง แล้วผมก็เริ่มพูดด้วยประโยคที่แสนจะโหดร้ายว่า “ครั้งสุดท้ายที่ ดอร์ทมุนด์ ชนะที่สนามของ บาเยิร์น มิวนิค พวกเอ็งส่วนใหญ่ยังเป็นทารกกันอยู่เลย”

 

หลังจากนั้นผมก็เริ่มเล่าหนึ่งในฉากเด็ดของหนังเรื่อง ร๊อคกี้ 4 ฉากที่พระเอกของเรื่องต้องไปสู้กับ อิวาน ดราโก้ เป็นฉากที่คลาสสิคที่สุดสำหรับผม

อิวาน ดราโก้ เป็นนักมวยที่ฝึกซ้อมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เพียบพร้อม แล้วผมก็บอกกับลูกทีมว่า “ผมอยากให้พวกคุณคิดว่า อิวาน ดราโก้ คือ บาเยิร์น มิวนิค ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นให้กลายเป็นนักมวยที่เพอร์เฟ็ค จากสิ่งแวดล้อมที่เพอร์เฟ็ค และที่สำคัญ เขาไม่เคยแพ้!!!”

กลับมาที่ฝั่งของ ร๊อคกี้ เขาฝึกซ้อมอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ในไซบีเรียอันหนาวเหน็บ เขาผ่าฟืนที่ตัดมาจากต้นสนเพื่อที่จะก่อกองไฟในกระท่อมบนยอดเขา ใช่แล้ว ผมจึงบอกกับลูกทีมต่ออีกว่า “ผมอยากให้พวกคุณคิดว่า ร๊อคกี้ คือพวกเรา พวกเราเป็นทีมที่เล็กกว่า แต่พวกเรารักในสิ่งที่ทำ! พวกเรามุ่งหวังที่จะเป็นแชมเปี้ยน! และพวกเราสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้”

ผมเล่าเรื่องราวของ ร๊อคกี้ ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่ง ผมก็เริ่มพยายามสังเกตุปฏิกิริยาของแต่ละคน ว่าจะเป็นไปตามที่ผมคาดหวังไว้หรือไม่ ผมอยากให้พวกเขาลุกขึ้นสู้ให้เหมือนกับที่ ร๊อคกี้ วิ่งขึ้นภูเขาที่อยู่ในไซบีเรีย ผมอยากให้พวกเขาสู้ด้วยสิ่งที่มีอยู่เหมือนกับคนบ้า

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกทีมทุกคนของผมมีสายตาที่ว่างเปล่า

พวกเขาดูไร้จุดมุ่งหมาย

บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงแอร์

พวกเขามองผมเหมือนกับจะพูดว่า เอ็งจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังทำไมเนี่ย?

ซึ่งผมก็มานึกขึ้นได้ทีหลังว่าตอนที่ ร๊อคกี้ 4 เข้าฉายในโรงหนังคือสมัยยุค 80s เด็กพวกนี้เกิดกันรึยังเนี่ย!?

แล้วผมก็ได้ตัดสินใจถามเด็กเหล่านั้นว่า “เห้ย เดี๋ยวก่อน ไหนใครรู้จัก ร๊อคกี้ บัลโบ้ บ้างยกมือขึ้นหน่อยดิ๊”

มีแค่ 2 คน ที่ยกมือขึ้น นั่นคือ เซบาสเตียน เคห์ล และ แพทริก โอโวโมเยล่า

แล้วก็มีบางคนที่พูดกับผมว่า “ไม่อ่ะ ขอโทษด้วยบอส”

นั่นแปลว่า คำพูดปลุกใจของผมทั้งหมดที่พูดมานั้น ไร้ค่า! ในเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล หรืออาจจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนักเตะบางคนด้วยซ้ำ แล้วคุณคิดว่าผมจะหน้าด้านเล่าเรื่องนี้อีกครั้งกับนักเตะของผมอีกไหมล่ะ? 555

 

หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็เริ่มฝึกฝนวิธีการพูดปลุกใจให้ดีขึ้น อย่างที่เล่าไป นั่นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผม บางครั้งคนเราก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิต พวกเราเป็นมนุษย์ บางทีพวกเราก็เผลอทำเรื่องที่น่าอายโดยตั้งใจ ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ การที่คุณตั้งใจที่จะให้คำพูดของคุณกลายเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร๋ของวงการฟุตบอล แต่มันกลับกลายเป็นคำพูดไร้สาระอย่างสิ้นเชิง ความอับอายนี้ แม้ว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่คุณมีโอกาสแก้ตัวในครั้งใหม่ คุณต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้

คุณรู้ไหมว่าอะไรที่แปลกที่สุดในเรื่องนี้?

ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรหลังจากที่พูดเรื่องเหล่านั้นออกไป แต่ผลที่ออกมาคือ พวกเราชนะ 3-1 เด็กๆ ของผมทำได้ดีกว่าเรื่องที่ผมเล่า แม้ว่าผมจะไม่มั่นใจในตัวพวกเขาก็ตาม

และสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากฟุตบอลก็คือ สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

 

พวกคุณบางคนอาจลืมผลการแข่งในครั้งนั้นไปตามกาลเวลา แต่สำหรับเด็กๆ ของผม มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต มันคือเรื่องราวเล็กๆ ที่ยากที่จะลืม

ตอนที่ผมขึ้นไปรับรางวัล ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ผมไม่รู้สึกเลยว่าผมขึ้นไปบนเวทีคนเดียว การที่ผมประสบความสำเร็จมาได้นั้น ทุกๆ คนรอบตัวมีส่วนร่วมทำให้มันเกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ใช่แค่นักเตะ แต่เป็นลูกๆ และทุกคนที่อยู่เคียงข้างผมตั้งแต่ผมเริ่มอาชีพนี้ ตั้งแต่ผมเป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนพวกคุณทุกคน

 

บอกตามตรง ถ้ามีใครสักคนย้อนเวลามาบอกผมในตอนอายุ 20 ว่าจะมีอะไรที่เกิดขึ้นกับตัวผม เจอร์เก้น คล็อปป์ ในอนาคต ผมไม่มีทางเชื่อแน่นอน แม้ว่า ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ จะนั่งรถข้ามเวลา(จากหนังเรื่อง Back to the Future) มาบอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมในอนาคต ผมก็จะตอบไปว่า ผมไม่เชื่อ

ตอนผมอายุ 20 ปี มีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปตลอดกาล คุณต้องนึกภาพในหัวว่า หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มักจะทำอะไรเป็นเด็กๆ กำลังจะกลายเป็นพ่อคน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เร็วไปสำหรับผม ตอนนั้นผมยังเล่นฟุตบอลในลีกสมัครเล่นอยู่เลย แถมกำลังเรียนมหาลัยอยู่ด้วย เพื่อที่จะให้ลูกได้เรียนหนังสือ ผมตัดสินใจไปทำงานในโกดังเก็บหนัง และสิ่งที่อยู่ในโกดังหนังยุค 80 มันมีแต่หนังที่เป็นม้วนเทป ไม่มี DVD เหมือนในยุคนี้หรอก พวกเราที่ทำงานที่นั่นมีหน้าที่บรรจุม้วนเทปเข้าลังเหล็ก หรือต้องเอาออกมาคัดแยก บอกตามตรง มันเป็นงานที่หนักมาก ในทุกๆ วัน คุณต้องอธิษฐานว่า ขอให้วันนี้ไม่มีเทปม้วนไหนพังด้วยน้ำมือคุณ ไม่เช่นนั้น มันจะเป็นวันที่เลวร้ายสำหรับคุณ

ผมได้นอนแค่ 5 ชม.ต่อวัน ก่อนที่จะไปทำงานที่โกดังในตอนเช้า แล้วค่อยไปเรียนในตอนเที่ยง พอค่ำผมก็ไปซ้อมฟุตบอล แล้วค่อยกลับบ้านมาหาลูก มันเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อย แต่นั่นคือชีวิตจริงของผม

นั่นทำให้ผมกลายเป็นคนที่ค่อนข้างทำอะไรจริงจังตั้งแต่หนุ่มๆ เพื่อนๆ มักจะชวนผมไปเที่ยวผับตอนกลางคืน ผมอยากจะตอบกลับพวกนั้นไปเหลือเกินว่า “ได้ๆ ฉันจะไป” แน่นอน ผมไม่สามารถไปได้ เพราะผมไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเพียงคนเดียวอีกแล้ว เหล่าบรรดาลูกๆ ของผมไม่สนว่าจะเหนื่อยขนาดไหน ไม่สนแม้กระทั่งผมจะได้นอนตอนไหน

เมื่อผมพยายามมองอนาคตของตัวเอง ผมก็ต้องคำนึงถึงลูกๆ ของผมด้วย มันเป็นอะไรที่ยากเหลือเกิน ความยากลำบากในสนามฟุตบอลมันเทียบกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย

 

บางครั้ง มีคนถามผมว่า ทำไมผมถึงยิ้มตลอดเวลา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ บางครั้งผมก็ตอบไปว่า ที่ผมยังยิ้มอยู่ได้ เพราะผมมีลูกๆ อยู่ที่บ้าน ฟุตบอลไม่สามารถกำหนดชีวิตผมให้เป็นหรือตายได้ ผมจึงไม่เอาความทุกข์ที่เกิดจากฟุตบอลเข้าไปในบ้าน ฟุตบอลควรเป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจ และสนุกไปกับมัน โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ

ผมเห็นชีวิตของใครหลายคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากๆ ไม่ว่าจะเป็น โม ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, โรเบอร์โต้ ฟิร์มิโน่ และอีกหลายๆ คนที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม และสิ่งที่ผมเองได้รับมาในตอนนี้ มันก็คุ้มค่ากับความยากลำบากที่ผมมีเมื่อสมัยตอนยังเป็นวัยรุ่นมากๆ

ผมอยากจะบอกว่า ที่คุณเห็นพวกเราเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นพระเจ้า แต่พวกเราคือผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน

 

98% ของคนในวงการฟุตบอล ล้วนแล้วแต่ล้มเหลว แต่พวกเขาก็ยังสามารถยิ้มได้ และเล่นเกมต่อไปได้อย่างสนุกสนาน

ผมเองก็เช่นกัน ผมเรียนรู้จากหลายๆ ความล้มเหลวในตอนเริ่มต้น ผมไม่เคยลืมมันแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เริ่มงานเป็นผู้จัดการที่ไมนซ์ เมื่อปี 2001 ต้นสังกัดที่ผมเคยสวมเสื้อและปักชื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่หลังในการค้าแข้งนานกว่า 10 ปี ปัญหาแรกของผมก็คือ นักเตะชุดนั้นเต็มไปด้วยเพื่อนๆ ของผม ผมกลายเป็นเจ้านายของพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคงเรียกผมว่า “คล๊อปโป้”

ครั้งแรกที่ผมประกาศรายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริงที่ต้องเล่น ผมไม่ได้ประกาศแบบธรรมดาทั่วไป แต่กลับไปบอกนักเตะแต่ละคนเป็นการส่วนตัว

และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผม เพราะตอนไปที่โรงแรม พวกเขาก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี

 

คุณพอจะนึกออกใช่ไหม? ใช่แล้ว ผมไปเคาะห้องของแต่ละคน แล้วก็บอกว่า “พรุ่งนี้คุณจะได้เป็นตัวจริง”

แล้วผมก็ไปเคาะห้องคนที่เหลือ แล้วพูดว่า “เสียใจด้วย พรุ่งนี้คุณไม่ได้เป็นตัวจริง”

ผมรู้สึกแย่ในการกระทำแบบนั้นในภายหลังจริงๆ เมื่อพวกนักเตะที่ไม่ได้เป็นตัวจริงมองตาผม แล้วก็ถามว่า “คล๊อปโป้…ทำไมล่ะ”

บ่อยครั้งที่ผมไม่ตอบกลับพวกเขา เพราะคำตอบที่แท้จริงคือ “พวกเราลงตัวจริงได้แค่ 11 คน”

ผมกระทำสิ่งแย่ๆ แบบนั้นประมาณ 8 เกม หรือมากกว่านั้น นักเตะ 18 คน มารวมกันในโรงแรมก่อนการแข่งขัน เหล่าบรรดานักเตะที่ผมชี้สั่งว่า “คุณได้ลงนะ….คุณไม่ได้ลงนะ” มาอยู่ที่เดียวกัน

และทุกครั้งที่อยู่รวมกันผมต้องเจอคำถามว่า “คล๊อปโป้…ทำไมล่ะ”

5555555 มันเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดสำหรับผมเหลือเกิน

มันเกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนผมอยากจะบอกกับตัวเองว่า ฉันมันโง้แท้ๆ ที่ตัดสินใจเป็นผู้จัดการทีม แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือ หยิบทิชชู่มาปาดน้ำตาที่อยู่บนหน้า และเรียนรู้ความผิดพลาดนี้

ถ้าคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเล่า ผมอยากจะขอให้คุณเชื่ออย่างนึงว่า การประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีมของผม มันเกิดจากความล้มเหลวในระดับหายนะ

 

ในเกมที่แพ้บาร์เซโลน่า 3-0 ในแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มันเป็นผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ แต่เมื่อพวกเรากลับมาเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเล่นในนัดที่ 2 ลูกทีมของผมแต่ละคนกลับมีแรงฮึดที่จะสู้ในเกมนี้ โดยที่ครั้งนี้ผมไม่ได้เล่าหนังเรื่อง ร๊อคกี้ ผมพูดเรื่องแท็กติกเป็นส่วนใหญ่ และพูดความจริงกับพวกเขาว่า “พวกเราต้องเล่นโดยที่ไม่มี 2 กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก (เมสซี่, โรนัลโด้) แม้ว่าคนทั้งโลกจะพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง มันจะเกิดได้ก็เพราะพวกคุณ พวกเรามีโอกาสที่จะทำได้”

ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับเทคนิค หรือความสามารถในการเล่นฟุตบอล แต่มันเกี่ยวกับฐานะความเป็นมนุษย์ที่มีแขนขาเท่ากับคู่แข่ง พวกเขาจึงมีโอกาสที่จะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้

ผมอยากจะบอกอะไรอย่างนึงนะ “ถ้าในวันนั้นพวกเราล้มเหลว ก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวที่สวยงามที่สุด”

 

แน่นอน แค่คำพูดของผมมันไม่สามารถทำให้ชนะได้หรอก เพราะผมแค่ยืนตะโกนอยู่ข้างสนาม ไม่ได้ลงไปเจอกับความลำบากเหมือนเด็กๆ ในสนาม แต่ก็เพราะตัวของพวกเขาเอง และเพราะพวกคุณ 54,000 คนที่ส่งเสียงกันที่แอนฟิลด์ พวกเราถึงสร้างปาฏิหาริย์ได้

สิ่งหนึ่งที่สวยงามในกีฬาฟุตบอลก็คือคุณไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม เชื่อผมสิ

สิ่งเหล่านั้นมักจะเกิดขึ้นในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก ส่วนในที่อื่นผมไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ และมันคงจะเป็นเจ้าสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่เพื่อการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล ไม่รู้สินะ ผมสัมผัสได้ถึงมันจนผมลืมฉากที่ เทร้นต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์ความอัจฉริยะไปเลย

ผมเห็นแค่ว่า ลูกบอลอยู่ที่มุมสนาม

ผมเห็นแค่ว่า เทร้นต์ เดินไปตรงนั้นเพื่อที่จะเตะ จากนั้น ชากิรี่ ก็เดินตามหมอนั่นไป

แล้วผมก็หันกลับมาบอกให้ลูกทีมลุกขึ้นไปเตรียมตัว เพื่อที่จะลงไปเล่น และคุยกับผู้ช่วย และ…คุณรู้ไหม ผมขนลุกทุกครั้งที่คิดถึงฉากนั้น … ตอนนั้น ผมสัมผัสได้แต่เสียงมันดังกึกก้องไปหมด

ผมหันกลับไปที่สนาม แล้วก็พบว่า ลูกบอลมันกำลังลอยเข้าประตู

ผมก็หันกลับไปที่ม้านั่ง แล้วบังเอิญไปสบตากับ เบน วู้ดเบิร์น หมอนั่นถามผมว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?!”

ผมตอบกลับไปว่า “กูก็ไม่รู้วววว!!!”

จากนั้น แอนฟิลด์ ก็กลายเป็นสนามที่บ้าคลั่ง ผมไม่ได้ยิงเสียงที่ผู้ช่วยพูดกับผมเลย จนเขาต้องตะโกนใส่ผมว่า “เห้ย … เจอร์เก้น คล็อปป์ มึงยังอยากจะเปลี่ยนตัวอยู่ไหม”

555555 ผมจะไม่ลืมประโยคนั้นแน่นอน มันจะอยู่กับผมตลอดไป

 

คุณนึกออกไหม? 18 ปี ในฐานะผู้จัดการทีม ผมดูเกมฟุตบอลมาเป็นล้านชั่วโมง จู่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามทำให้ผมลืมสิ่งที่ต้องทำไปชั่วขณะ ตั้งแต่ตอนนั้น ผมกลับมาดูลูกยิงของ ดิว็อค โอริกี้ บ่อยเท่าที่จะเป็นไปได้ จนถึงตอนนี้ประมาณ 5 แสนครั้งได้แล้ว ผมย้อนดูมันในฐานะคนธรรมดา เพื่อที่จะดูลูกบอลลูกนั้นลอยเข้าประตูเท่านั้น

หลังจากจบเกม ผมเข้ามานั่งในห้องเล็กๆ ไม่มีการจิบเบียร์ใดๆ ทั้งสิ้น ผมนั่งถือขวดน้ำในความเงียบ แล้วก็ยิ้ม มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เมื่อผมกลับบ้าน ครอบครัว และเพื่อนมารอผมอยู่ที่หน้าบ้านกันครบ ทุกคนจัดปาร์ตี้ฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผมรู้สึกเหนื่อยมาก ผมหนีไปอาบน้ำ แล้วนอนด้วยสมองที่ว่างเปล่า

เป็นการนอนที่ดีที่รู้สึกดีที่สุดในชีวิตของผม

 

เรื่องราวนั้นกลับมาหาผมอีกครั้งในเช้าวันต่อมา มันใช่ความฝัน “มันเกิดขึ้นจริง มันยังคงเป็นเรื่องจริง”

สำหรับผม ฟุตบอลคืออีกสิ่งหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้เช่นเดียวกับหนัง และเมื่อผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดมา แล้วพบว่าสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นกับผมจริงๆ ผมเป็นคนน๊อค ดราโก้ (ในเรื่อง ร๊อคกี้) นั่นแสดงว่า ผมสามารถทำเรื่องที่อยู่ในหนังให้เป็นเรื่องจริงได้

ผมคิดถึงมันตลอดเวลาจนถึงเดือนมิถุนายน ตอนที่พวกเราถือถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกไปตามถนนรอบเมืองลิเวอร์พูล ผมไม่มีคำพูดที่จะมาอธิบายความรู้สึกในวันนั้นได้ รถขับไปเรื่อยๆ เมื่อเราคิดว่าขบวนแห่นี้จะต้องจบลง แล้วจะไม่ได้เห็นชาวเมืองลิเวอร์พูลอีกต่อไปแล้ว เราจึงอยากให้ขบวนพาเหรดนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ได้ คุณจะรู้สึกถึงความปลื้มปิติ คุณจะรู้สึกถึงความรักที่ลอยอยู่บนอากาศในวันนั้น และอยากจะเก็บมันไว้ใส่ขวด เพื่อที่จะทำให้ย้อนนึกถึงวันนั้น

แต่ตอนนี้ ผมไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นในหัวของผมได้อีกแล้ว ฟุตบอลให้ทุกๆ สิ่งในชีวิตของผม จนผมอยากจะตอบแทนมันให้มากกว่านี้ ใช่แล้ว จะพูดน่ะมันง่าย แต่จะทำมันด้วยวิธีไหนดีล่ะ?

 

 

 

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้รับแรงบันดาลใจจาก ฮวน มาต้า, มัตส์ ฮุมเมลส์, เมแกน ราพิโน และนักฟุตบอลอีกหลายๆ คน ที่เข้าร่วมกับโครงการ Common Goal ถ้าคุณไม่รู้ว่าพวกเขาทำงานกันยังไง ผมจะเล่าให้ฟัง มีนักฟุตบอลมากกว่า 120 คน ที่มอบ 1% ของรายได้ตัวเองให้กับองค์กร NGOs ที่มีอยู่ทั่วโลก พวกเขานำเงินเหล่านี้ไปช่วยเหลือศูนย์ฝึกฟุตบอลเยาวชนในแอฟริกาใต้, ซิมบับเว, กัมพูชา, อินเดีย, สหราชอาณาจักร, เยอรมัน และประเทศอื่น ๆอีกมากมาย

ไม่ได้มีแค่นักเตะรวยๆ ที่เข้าร่วมนะ แต่ทีมฟุตบอลหญิงของแคนนาดาก็เข้าร่วมองค์กรนี้ด้วย นักฟุตบอลในญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, สก๊อตแลนด์, เคนย่า, โปรตุเกส, อังกฤษ, กาน่า… พูดขนาดนี้คุณคงต้องรู้สึกเหมือนผมบ้างแล้วล่ะ ว่าฟุตบอลเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

ผมแค่อยากจะช่วยเหลือโครงการนี้ ผมเลยสมัครเป็นสมาชิกโครงการเพื่อที่จะเอา 1% ของค่าจ้างของผมไปช่วยเหลือ NGOs และผมหวังว่าจะมีอีกหลายๆ คนในวงการฟุตบอลตามผมมาเป็นสมาชิก

 

บอกตามตรงว่า ในฐานะพวกเราที่เกิดมาพร้อมกับความโชคดีสมควรที่จะมอบบางสิ่งให้กับเด็กที่เกิดมาไม่มีโอกาสเหมือนกับพวกเราที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก

อย่าลืมว่า ในตอนที่พวกเรามีปัญหา พวกเรารู้สึกกันอย่างไร ปัญหาที่เคยเกิดกับพวกคุณถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากหากเทียบกับโลกอันโหดร้าย ขอโทษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามฟุตบอลมันไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง มันมีสิ่งอื่นมีหลายอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเกมฟุตบอลและถ้วยรางวัล หรือคุณว่าไม่จริง?

แค่คิดว่า เราทำในส่วนที่เราทำได้ร่วมกับคนอื่นๆ และมอบค่าเหนื่อย 1% ให้กับสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ผมอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป ผมอาจจะเป็นคนหัวโบราณเกินไป

 

แต่เกมฟุตบอลมีไว้เพื่อใคร?

 

พวกคุณคงรู้ดีว่าเกมนี้มีไว้สำหรับนักล่าฝัน