K-Me Article


แบบจำลองอะตอม ตอนที่ 15 เลขควอนตัม (Quantum number)

เลขควอนตัม (Quantum number)

          แบบจำลองอะตอมของโบร์ ใช้ได้ดีกับอะตอมไฮโดรเจนหรือไอออนที่มีอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียวเท่านั้น คืออธิบายได้ว่าเส้นสเปกตรัมแต่ละเส้นเกิดขึ้นได้อย่างไร 
แต่สำหรับอะตอม ที่มีอิเล็กตรอนมากกว่า  1  ซึ่งทำให้มีเส้นสเปกตรัมแปลกไปกว่ากรณีของไฮโดรเจน  พบว่าแบบจำลองอะตอมของโบร์ไม่สามารถอธิบายการเกิดเส้น
สเปกตรัมเหล่านั้นได้ 

                 ความแตกต่างนี้ต้องอธิบายด้วยกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) ซึงค้นพบโดย ชเรอดิงเงอร์   โดยพบว่าอิเล็กตรอนมีสมบัติเป็นคลื่น 
(อิเล็กตรอนเป็นไปได้ 2 แบบ คือเป็นวัตถุ  มีมวล 9.1 x 10-28 กรัม ดังที่กล่าวมาในตอนแรก  กับอีกแบบหนึ่งมีสมบัติเป็นคลื่นตามที่ชเรอดิงเงอร์พบ)  เป็นที่มาของเลขควอนตัม 
(quantum number) คือตัวเลขที่ใช้แสดงสมบัติของอิเล็กตรอนแต่ละตัว  ที่อยู่ในออร์บิทัลต่าง ๆ  โดยอิเล็กตรอนแต่ละตัวจะแสดงสมบัติด้วยเลขควอนตัม  1 ชุด  ประกอบด้วย
ตัวเลข 4 ค่า  คือ  n , l , ml , mS

                1.  เลขควอนตัมหลัก (principle quantum number , n )  บอกให้ทราบถึงระดับพลังงาน (shell) ของอิเล็กตรอนโดยมีค่าตั้งแต่   
n=1  n=2  n=3  n=4  n=5  n=6 และ n=7  … 

                                                                                                        (คลิ้กชม เลขควอนตัมหลัก)

                2.  เลขควอนตัมโมเมนตัมเชิงมุม (angular momentum quantum number, l )  บางครั้งเรียกว่าควันตัมออร์บิทัล (orbital quantum number)   
หรือเรียกว่า  Azimuthal quantum number (คลิ้ก)   ตัวเลขนี้จะบอกให้ทราบถึงจำนวนและชนิดของระดับพลังงานย่อย (subshell)  ทำให้ทราบว่ามีออร์บิทัลทั้งหมดกี่ออร์บิทัล 
เมื่อทราบจำนวนออร์บิทัลจะทราบว่าแต่ละออร์บิทัลทำมุมกันเท่าไร  จึงทราบว่ารูปร่างของกลุ่มออร์บิทัลเป็นแบบใด  ค่า  l  ของแต่ละระดับพลังงาน ,shell  ( n ) 
จะเริ่มจาก  0  สิ้นสุดที่  n-1  หรือเขียนในรูปสมการว่า  ;   l  =  0  ถึง  n – 1

                ค่า  l  เป็นตัวเลขที่ใช้บอกชนิดของ  subshell  ดังนี้

l  =  0  หมายถึง  subshell  s               (มีอิเล็กตรอนได้ 2 ตัว  มี 1 ออร์บิทัล  รูปร่างเป็นทรงกลม) 


Subshell s  มีอยู่ทุกระดับพลังงาน (shell) ตั้งแต่ n = 1 ถึง  n = 7 ฉะนั้น  subshell s  จึงมีตั้งแต่  1s  2s  3s  4s  5s  6s  และ 7s  มีรูปร่างเป็นทรงกลมเหมือนกัน
แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ  หุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ๆ

l  =  1  หมายถึง  subshell  p  (มีอิเล็กตรอนได้  6  ตัว  มี  3  ออร์บิทัล  แต่ละออร์บิทัลรูปร่างคล้าย ดัมเบลล์)


Subshell p  เริ่มมีที่ระดับพลังงาน n = 2 ฉะนั้น  subshell p  จึงประกอบด้วย  2p , 3p , 4p , 5p , 6p , 7p … มีรูปร่างคล้ายดัมเบลล์เช่นเดียวกัน 
แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับซ้อน ๆ กันออกไปตามแนวเดียวกัน

l  =  2  หมายถึง  subshell  d               (มีอิเล็กตรอนได้  10  ตัว  มี  5  ออร์บิทัล  แต่ละออร์บิทัลรูปร่างคล้ายดัมเบลล์ไขว้กัน)



Subshell d  เริ่มมีที่ระดับพลังงาน n = 3 ฉะนั้น  subshell d จึงประกอบด้วย  3d , 4d , 5d , 6d , 7d … มีรูปร่างคล้ายดัมเบลล์เช่นเดียวกัน 
แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับซ้อน ๆ กันออกไปตามแนวเดียวกัน



l  =  3  หมายถึง  subshell  f   (มีอิเล็กตรอนได้  14  ตัว  มี  7  ออร์บิทัล  แต่ละออร์บิทัลรูปร่างคล้ายดัมเบลล์ไขว้กันแบบซับซ้อนมาก)               


l  =  4  หมายถึง  subshell  g   เริ่มที่ n = 5 (มีอิเล็กตรอนได้  18  ตัว)  *  ปัจจุบันยังไม่พบ
l  =  5  หมายถึง  subshell  h   เริ่มที่ n = 6  (มีอิเล็กตรอนได้  22  ตัว)  *  ปัจจุบันยังไม่พบ
l  =  6  หมายถึง  subshell  i    เริ่มที่ n = 7  (มีอิเล็กตรอนได้  26  ตัว)  *  ปัจจุบันยังไม่พบ

 

            3.   เลขควอนตัมแม่เหล็ก (magnetic quantum number, ml , m )  บอกสมบัติในการจัดทิศทางของออร์บิทัลเมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็กค่าของ  ml  อาจเป็นลบ ( - )
      หรือ ศูนย์ หรือเป็นบวก  (+)  ก็ได้ โดยทั่วไปจะเขียนว่ามีค่าอยู่ระหว่าง -1 , 0 , + 1  หรือจะเขียนกลับกันเป็น  +1 , 0 , -1  ก็ได้  แต่ต้องทำให้เหมือนกันทั้งชุด

(The magnetic quantum number denotes the energy levels available within a subshell.)

                จำนวนค่าของ   ml  = (2l + 1) ค่า  ให้สังเกตให้ดีว่า  จำนวนค่าของ  ml  กับค่าของ  ml  ไม่ใช่สิ่งเดียวกันคือจำนวนค่าของ  ml  คิดมาจาก  2l + 1  
เช่น  ถ้า  l  คือ  1  จำนวนค่าของ  ml  =  2(1) + 1  =  3  ค่า  แต่ค่าของมันคือ  -1 , 0 ,  +1 


ตารางแสดงค่า  l  จำนวนค่าของ  ml  และค่าของ  ml

l

จำนวนค่าของ ml

ค่าของ ml

0

1 ค่า

0

1

3 ค่า

-1,0,+1
หรือ +1,0,-1

2

5 ค่า

-2,-1,0,+1,+2
หรือ +2,+1,0,-1,-2

3

7 ค่า

-3,-2,-1,0,+1,+2,+3
หรือ +3,+2,+1,0,-1,-2,-3

4

9 ค่า

-4,-3,-2,-1,0,+1,+2,+3,+4
หรือ +4,+3,+2,+1,0,-1,-2,-3,-4

            4.   เลขควอนตัมสปิน (spin quantum number, mss) เป็นการบอกลักษณะการหมุนรอบตัวเองของอิเล็กตรอน มี  2  ค่าได้แก่     +1/2  แทนการหมุนรอบตัวเอง
แบบตามเข็มนาฬิกา และ  -1/2  แทนการหมุนรอบตัวเองแบบทวนเข็มนาฬิกา

( the spin quantum number describe the unique quantum state of an electron and is designated by the letter s.)





ตารางแสดงเลขควอนตัม  n  l  ml  และความหมาย 

 

 

n

 

l

 

ml

จำนวน
ออร์บิทัล

ชื่อออร์บิทัล
หรือ subshell

จำนวนอิเล็กตรอน
ที่มีได้ทั้งหมด

1

0

0

1

1s

2

 

2

0

0

1

2s

2

1

-1, 0, +1

3

2p

6

 

3

0

0

1

3s

2

1

-1, 0, +1

3

3p

6

2

-2, -1, 0, +1, +2

5

3d

10

 

4

0

0

1

4s

2

1

-1, 0, +1

3

4p

6

2

-2, -1, 0, +1, +2

5

4d

10

3

-3, -2, -1, 0, +1, +2, +3

7

4f

14

 

ตัวอย่างเลขควอนตัม  n  l  ml  ของอิเล็กตรอนแต่ละตัวของ  10Ne  (มีอิเล็กตรอน  10  ตัว)


n


l = 0 ถึง (n-1)

จำนวน ml
( =  2l + 1) ค่า

เป็นของอิเล็กตรอนตัวที่

1

0

มี 1 ค่าคือ 0

1,2

2

0

มี 1 ค่าคือ 0

3,4

1

มี 3 ค่าคือ -1,0,+1

5,6,7,8,9,10

 

เลขควอนตัม  n  l  ml  ms  ของอิเล็กตรอนแต่ละตัวของ 10Ne  (มีอิเล็กตรอน 10 ตัว)

e- ตัวที่

n

l

ml

ms

อยู่ใน orbital

1

1

0

0

+1/2

1s

2

1

0

0

-1/2

3

2

0

0

+1/2

2s

4

2

0

0

-1/2

5

2

1

-1

+1/2

2px

6

2

1

0

+1/2

2py

7

2

1

+1

+1/2

2pz

8

2

1

-1

-1/2

2px

9

2

1

0

-1/2

2py

10

2

1

+1

-1/2

2pz

           

อิเล็กตรอนทั้ง  10  ตัวของนีออน  เมื่อดูในแผนผังออร์บิทัลจะเป็นดังนี้


                                                                                                                                   (คลิ้ก ชมเลขควอนตัมของ Si)

                                                                                                                             (เรียนเรื่องเลขควอนตัมกับครูฝรั่ง)

                                                                                                                                  (อ่านเพิ่มเติม คลิกที่นี่)

                                                                                                                               (คลิ้ก ทำแบบฝึกหัดเลขควอนตัม)

สมบัติทางแม่เหล็กของสาร

                โดยทั่วไปแม่เหล็กแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ แม่เหล็กถาวร (permanent magnetic) กับแม่เหล็กชั่วคราว (temporary magnetic) โดยแม่เหล็กถาวรคือ
แม่เหล็กที่เมื่อเกิดสมบัติแม่เหล็กแล้วไม่สูญเสียสภาพแม่เหล็กโดยง่าย เช่น แม่เหล็กที่ทำจากเหล็กกล้า ส่วนแม่เหล็กชั่วคราวคือ แม่เหล็กที่เมื่อมีสมบัติแม่เหล็กแล้ว
สามารถสูญเสียสภาพความเป็นแม่เหล็กได้ง่าย เช่น แม่เหล็กที่ทำจากเหล็กอ่อน เป็นต้น
                นอกจากเหล็กแล้ว วัสดุอื่นๆ เช่น นิกเกิล โคบอลต์ รวมถึงโลหะผสมของธาตุแรร์เอิทท์ (rare earth) บางชนิด (แรร์เอิร์ท คือธาตุในกลุ่มแอกทิไนด์
และกลุ่มแลนทาไนด์ เป็นธาตุหายาก ) ก็สามารถกระตุ้นหรือเหนี่ยวนำให้เกิดสมบัติแม่เหล็กได้เช่นกัน นักวิทยาศาสตร์เรียกกลุ่มวัสดุที่สามารถกระตุ้นให้กลายเป็นแม่เหล็กได้ว่า
เฟอร์โรแมกนีติก (ferromagnetic) และแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เฟอร์โรแมกนีติกแบบอ่อน (soft) ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกกระตุ้นแล้วได้แม่เหล็กชั่วคราว กับเฟอร์โรแมกนีติกแบบเข้ม
(hard) ซึ่งเมื่อกระตุ้นแล้วกลายเป็นแม่เหล็กถาวร

                สมบัติแม่เหล็กสามารถแบ่งได้เป็น  3 ประเภท  คือ

             
1. สารเฟอโรแมกเนติก (Ferromagnetic Material)   เป็นสารที่มีสมบัติเป็นแม่เหล็กอยู่ในตัวอย่างถาวร  แม้ไม่ได้อยู่ในสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็ก
ก็ยังคงแสดงสมบัตเป็นแม่เหล็ก  จึงดูดเหล็กและแม่เหล็กก้อนอื่นได้  ได้แก่ เหล็ก โคบอลต์ นิกเกิล เป็นต้น

                      2. สารพาราแมกเนติก (Paramagnetic Material)  เป็นสารที่มีสมบัติเป็นแม่เหล็กอยู่ในตัวแต่ไม่ถาวรถ้าอยู่ในสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้าจึงจะ
แสดงความเป็นแม่เหล็ก  หรือเรียกว่าเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กได้  แต่เมื่อออกจากสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้าความเป็นแม่เหล็กก็จะหมดไป
  เกิดจากการมีอิเล็กตรอนเดี่ยว
อยู่ในออร์บิทัล  ยิ่งมีอิเล็กตรอนเดี่ยวมากก็จะยิ่งเหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กได้มากขึ้น  เช่น  เช่น อะลูมินัม โครเมียม โมลิบดีนัม โซเดียม ไทเทเนียม เซอร์โคเนียม


                                                                                                               (คลิ้กเพื่อชมเพิ่มเติม)

                      3. สารไดอะแมกเนติก (Diamagnetic Material)  เป็นสารที่ไม่มีสมบัติของแม่เหล็กอยู่ในตัว  เหนี่ยวนำให้เป็นแม่เหล็กไม่ได้    แต่อาจมีแรงผลักแม่เหล็ก
อย่างอ่อน ๆ
  เกิดจากไม่มีอิเล็กตรอนเดี่ยวอยู่ในออร์บิทัล  เช่น  ธาตุนีออน (10Ne)  มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 1s2 2s2 2p6



(คลิ้กเพื่อชมเพิ่มเติม)

แบบจำลองอะตอมของชเรอดิงเงอร์ (Quantum model)

                แบบจำลองอะตอมชนิดกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนยังคงเป็นที่ยอมรับ  แต่มีการพัฒนารูปแบบไปจากเดิมที่เสนอว่ากลุ่มหมอกเป็นรูปทรงกลม   จากการค้นพบของชเรอดิงเงอร์ 
ทำให้ทราบว่าอิเล็กตรอนในออร์บิทัลต่าง ๆ จะเคลื่อนที่อยู่ในพื้นที่เฉพาะทำให้เกิดรูปร่างของออร์บิทัล  ฉะนั้นกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนจึงไม่เป็นทรงกลมเสมอไป  แต่มีรูปร่างเป็นอย่างอื่น
ตามชนิดของออร์บิทัลด้วย  ดังรูป





(คลิ้ก ชมแบบจำลองอะตอมของชเรอดิงเงอร์)


แบบฝึกหัด

 

1.  จงเติมข้อมูลเกี่ยวกับเลขควอนตัมในช่องว่างของตารางต่อไปนี้

 

n

l

ml

1

 

 

 

2

 

 

 

 

 

3

 

 

 

 

 

 

 

4

 

 

 

 

 

 

 

 

2.   จงหาว่า  n, l และ ml มีอะไรบ้างเมื่อ subshell เป็น   4d

n

l

ml

 

 

 

3.    จงเขียนเลขควอนตัมทั้ง 4 ค่าของอิเล็กตรอนทั้งหมดใน orbital  3p  

e- ตัวที่

n

l

ml

ms

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

 

 

4.     ธาตุที่มีการจัดอิเล็กตรอนใน orbital ดังนี้ 1s2, 2s2, 2p6, 3s2, 3p3 จงทำนายว่าอะตอมนี้คือธาตุอะไร และให้เขียนเลขควอนตัมทั้ง 4  ค่าของอิเล็กตรอนใน 3s
        ตอบ  ธาตุนี้คือ...........................................

e- ตัวที่

n

l

ml

ms

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

5.     ให้เขียนเลขควอนตัมทั้ง 4 ค่าของอิเล็กตรอนทั้ง 8 ของอะตอมออกซิเจน (แนะนำ : ต้องเรียงตามลำดับพลังงานของ subshell ก่อน)

e- ตัวที่

n

l

ml

ms

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

7

 

 

 

 

8

 

 

 

 

6.    จงแสดงเหตุผลว่าธาตุต่อไปนี้ เป็น diamagnetic หรือ paramagnetic ;  17Cl,  18Ar,  54Xe,  49In,  38Sr,  5B,  6C

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.    จงระบุเลขควอนตัมของอิเล็กตรอนใน 5p ออร์บิทัล

 

e- ตัวที่

n

l

ml

ms

1

 

 

 

 

2

 

 

 

 

3

 

 

 

 

4

 

 

 

 

5

 

 

 

 

6

 

 

 

 

 

 

6. จงอธิบายโดยใช้ความรู้เรื่องโครงแบบอิเล็กตรอนและระดับพลังงานออร์บิทัลของอะตอมว่าทำไมออกซิเจนจึงเกิดเป็นไอออนสองลบ (O2- ) ได้ง่าย ในขณะที่ Na
จะเกิดไอออนหนึ่งบวก (Na+ ) ได้ง่าย

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

7.  ระบุว่าธาตุหรือไอออนต่อไปนี้อยู่ในหมู่และคาบใดของตารางธาตุ และแสดงการจัดอิเล็กตรอน (Electron

Configuration) พร้อมแผนภาพแสดงการเติมอิเล็กตรอน (ใช้ ↑ แทนออร์บิทัล  และ  หรือ   แทนอิเล็กตรอน)   และพิจารณาว่าจัดไว้ในหมู่ / คาบ ใด




Appendix

 

1.    Four electrons in an atom have the quantum number given below. Which electron is at the highest energy?  (Ans.d)  (อิเล็กตรอน  4  ตัว
ซึ่งมีเลขควอนตัมดังที่กำหนด  จงพิจารณาว่าตัวใดมีพลังงานสูงสุด)
     
a)   n = 4, l = 0, ml = 0, ms = +1/2

      b)   n = 3, l = 0, ml = 0, ms = -1/2
      c)   n = 3, l = 2, ml = 0, ms = +1/2
     
d)   n = 4, l = 1, ml = -1, ms = -1/2

 

2.  The set of quantum numbers, n = 2, l = 2, ml = 0 ; what this meam. (Ans.d)  (เลขควอนตัมชุดนี้มีความหมายอย่างไร)
  a)   describes an electron in a 2d orbital (บอกให้ทราบว่าอิเล็กตรอนอยู่ในออร์บิทัล 2d)
  b)   describes one of five orbitals of a similar type (บอกให้ทราบว่าเป็น 1 ใน 5 ของออร์บิทัลที่มีสมบัติ เหมือนกัน)
  c)   describes an electron in a 2p orbital  (บอกให้ทราบว่าอิเล็กตรอนอยู่ในออร์บิทัล 2p)
  d)   is not allowed (ไม่มีข้อใดถูกเลย)

 

 3.  The set of quantum numbers, n = 3, l = 2, ml = 0 ; what this meam. (Ans.d)   (เลขควอนตัมชุดนี้มีความหมายอย่างไร)
      a)   describes an electron in a 2d orbital  (บอกให้ทราบว่าอิเล็กตรอนอยู่ในออร์บิทัล 2d)
      b)   is not allowed(ไม่มีข้อใดถูกเลย)
      c)   describes an electron in a 3p orbital  (บอกให้ทราบว่าอิเล็กตรอนอยู่ในออร์บิทัล 3p)
      d)   describes one of five orbitals of a similar type (บอกให้ทราบว่าเป็น 1 ใน 5 ของออร์บิทัลที่มีสมบัติเหมือนกัน)



4.  The set of quantum numbers, n = 4, l = 3, ml = 2  ; what this meam. (Ans.d); (เลขควอนตัมชุดนี้มีความหมายอย่างไร)
     a)   is not allowed  (ไม่มีข้อถูก)                                 
     b)   describes an electron in a 4d orbital  ; (บอกให้ทราบว่าเป็นอิเล็กตรอนที่อยู่ในออร์บิทัล 4d)
     c)   describes an electron in a 3p orbital ; (          บอกให้ทราบว่าเป็นอิเล็กตรอนที่อยู่ในออร์บิทัล 3p)
     d)   describes one of seven orbitals of a similar type ; (บอกให้ทราบว่าเป็น 1 ใน 7 ออร์บิทัลที่มัสมบัตคล้ายกัน)

 

5.     Four electrons in an atom have the quantum number given below. Which electron is at the highest energy? ; (Ans.d) ; (อิเล็กตรอน 4 ตัวของอะตอมหนึ่ง
แต่ละตัวมีเลขควอนตัมดังที่กำหนดในแต่ละข้อ  อยากทราบว่าตัวไหนมีพลังงานสูงสุด)

        a)   n = 3, l = 0, ml = 0, ms = -1/2                       b)   n = 4, l = 0, ml = 0, ms = +1/2
        c)   n = 3, l = 2, ml = 0, ms = +1/2                      d)   n = 4, l = 1, ml = -1, ms = -1/2

 

6.   Which of the following statements is correct for an electron that has the quantum numbers n = 4 and
      ml =  2?  ; (Ans.d) (ข้อใดกล่าวถึงสมบัติของอิเล็กตรอนซึ่งมีเลขควอนตัม n=4 และ ml = -2  ได้ถูกต้อง)
       a)   none of the above applies to this electron  (ไม่มีข้อใดถูก)
       b)   the electron may be in a p orbital  (อิเล็กตรอนตัวนี้อยู่ใน p orbital)



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

Size : 19.33 KBs
Upload : 2012-11-02 19:46:14
ติชม

กำลังแสดงหน้า 1/0
<<
1
>>

ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

0
คะแนนโหวด
สร้างโดย :


K-Me
รายละเอียด Share
สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
วิทยาศาสตร์


โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล
70 หมู่ 2 แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170
โทรศัพท์ 0 2441 3593 E-Mail:satriwit3@gmail.com


Generated 0.866996 sec.